
ไม้นั้นมีหลายชนิด มีตั้งแต่ เกรดต่ำที่สุด จนถึง เกรดสูงที่สุด คำว่า ประตูไม้เนื้อแข็ง จึงหมายรวมถึง ไม้ทุกเกรดตามภาษาของบุคคลทั่วไป แต่ถ้าหากพูดถึงตามภาษาของช่างไม้แล้ว สามารถแบ่งออกเป็นได้ ดังนี้
1. 1. เกรดที่สูงที่สุด เป็นไม้เนื้อแข็งจริงๆ มี ไม้มะค่า ไม้แดง ไม้ประดู่ ไม้ประดู่แดง ไม้ชนิดเหล่านี้ เป็นไม้ที่มีความแข็งแรง ทนทาน ราคาสูง แต่ก็ผันแปรตามอายุของมัน หมายความว่า ถึงแม้จะเป็น ไม้เหล่านี้ก็ตาม แต่ถ้าอายุของไม้ไม่ถึง 40 – 50 ปี แล้ว คุณสมบัติของการเป็นไม้เนื้อแข็งที่ดีก็ยังไม่ถึงเวลา หรือ ขยายความได้ว่า เป็นไม้ที่ดีก็จริง แต่ ช่วงอายุของไม้ไม่ถึงเกณฑ์ มันก็เป็นได้แค่ชื่อเท่านั้น แต่คุณภาพยังไม่ใช่ ไม้ชนิดนี้ เหมาะสำหรับทำโครงสร้างบ้าน เช่น เสา คาน พื้น เป็นต้น แต่ไม่เหมาะสำหรับทำ บานประตู เพราะ ไม้มีน้ำหนักมากเกินไป อุปกรณ์ หรือ บานพับ ในการรับน้ำหนัก จะต้องลงทุนอุปกรณ์อย่างดี และ ยังต้องใช้วงกบไม้อย่างดีด้วยเช่นกัน หรือเป็นไม้ชนิดเดียวกัน มิเช่นนั้นจะรับน้ำหนักของบานประตูไม่ได้ อีกทั้งยังมีปัญหาการยืดหดตัวอยู่บ้าง แม้จะอบหรือตัดแล้วก็ตาม ที่ว่าไม้ชนิดดีนั้นคือ มีสารชนิดหนึ่ง ที่ปลวกและมอดไม่ชอบกิน เกิดจากการที่ต้นไม้หลั่งสารนี้ออกมา เมื่ออายุ 40 – 50 ปีแล้ว และเซลล์ของเนื้อไม้จับตัวแข็งและแน่น ยากต่อการเป็นรอย และยังรับน้ำหนักได้ดี จึงเหมาะกับการทำโครงสร้างบ้าน แต่ ไม่เหมาะสำหรับทำบานประตู
2. 2. ไม้สัก เป็นไม้ที่มีความเชื่อกันว่าเป็นไม้ที่ ดีที่สุด และ มีคุณค่าที่สุดในโลก แต่เชื่อหรือไม่ ไม้สักที่วางขายกันมากมายในขณะนี้ มีอยู่มากทีเดียวที่ขึ้นชื่อได้แต่คำว่า ไม้สัก แต่คุณสมบัติและคุณภาพ มิอาจเทียบได้กับคำว่า ไม้สัก เป็นแค่เพียง ไม้เนื้ออ่อนธรรมดา ที่ไม่มีคุณสมบัติจะนำมาใช้ ทำบ้าน ประตู เพราะไม้สักที่ทั้งชื่อและคุณภาพ เป็นสักจริง ต้องมีอายุ ไม่ต่ำกว่า 40 – 50 ปีขึ้นไป จึงจะมีลาย สี ที่สวยงาม และ มีสารป้องกันปลวกและมอด แต่ถึงแม้อายุจะถึง ไม้สักก็จัดเป็น ไม้เนื้ออ่อน เพราะ เซลล์เนื้อเยื่อของสัก ไม่มีความแน่นและแข็งพอเท่ากับไม้ชนิดแรกที่กล่าวมา และยังเป็นรอยขีดข่วนได้ง่าย เนื่องจากเซลล์ของสักไม่หนาแน่นพอ ไม้สัก ควรนำมาใช้สำหรับ ฝาบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือน บานประตู หน้าต่าง เป็นต้น
3. 3. ไม้ที่ถูกจัดว่าอยู่ในเกรดปานกลาง ไม่ว่าจะเป็น คุณภาพ ความคงทน ความสวยงาม และ ราคา มีอยู่หลายชนิด เช่น ไม้สยาแดง ไม้กวางแดง ไม้ทุเรียน ไม้กะบาก ไม้ยาง เป็นต้น ไม้ชนิดนี้ไม่เหมาะสำหรับทำวงกบ เพราะไม่สามารถรับนน้ำหนักบานประตูได้ เนื่องจากเซลล์ของเนื้อไม้ไม่หนาแน่นพอ แต่เหมาะสำหรับทำบานประตู หน้าต่าง เครื่องเฟอร์นิเจอร์ ได้ดี เพราะไม่มีน้ำหนักมาก และ สามารถอบให้แห้ง และ อัดน้ำยากันมอดได้ ซึ่งไม้ที่นิยมที่สุดในขณะนี้ รวมถึงเป็นไม้เศรษฐกิจด้วย ก็คือ ไม้สยาแดง และ ไม้ทุเรียน ไม้ทั้ง2ชนิดนี้ ยากที่จะแยกออกได้ว่า ไม้ไหนเป็นไม้สยาแดง หรือ ไม้ทุเรียน ถ้าเป็นไม้ทุเรียนที่คัดเกรด A แล้ว ก็จะไม่มีตาให้เห็น และสามารถนำไปเป็นประตู อยู่ในบานเดียวกันกับไม้สยาแดงได้ ซึ่งมีผู้ผลิตหลายโรงงาน ใช้ทุเรียนผลิตบานประตูหน้าต่าง แต่กล่าวว่าเป็นไม้สยาแดง แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาใดๆ เพราะ จริงๆแล้วปัจจุบัน ไม้ทุเรียนที่นำมาใช้ได้ ต้องเป็นไม้ที่แก่แล้ว ไม่สามารถออกลูกได้แล้ว ชาวสวนทุเรียนจึงต้องขายตัดต้นทุเรียนทิ้ง ขายเป็นท่อนซุงให้กับโรงเลื่อย และคุณสมบัติก็ไม่ได้ต่างกับไม้สยาแดง สรุปว่า ไม่ว่าจะเป็นไม้ทุเรียนหรือไม้สยาแดง ก็มีคุณสมบัติเท่าเทียมกัน ผู้บริโภคบางท่านมีอคติว่า ไม้ทุเรียนเป็นไม้ผลเอาไว้รับประทานขัดต่อความรู้สึกต่อการนำมาใช้เป็นประตูหน้าต่างและวัสดุเครื่องเรือน แต่แท้ที่จริง ไม้ทุเรียนที่มีอายุ 40 – 50 ปีนั้น ยังมีความหนาแน่นของเซลล์ ดีกว่า ไม้สยาแดง ที่นำเข้ามาจาก ประเทศมาเลเซีย และ อินโดนิเซีย เพราะสยาแดงที่นำมาใช้จะมีอายุไม่เกิน 30 – 40 ปีเท่านั้น
หน้าที่เข้าชม | 111,316 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 51,076 ครั้ง |
เปิดร้าน | 26 ต.ค. 2555 |
ร้านค้าอัพเดท | 11 เม.ย. 2561 |